ในปี พ.ศ. 2486 วิศวกรสองคนคือ จอห์น มอชลี (John Mouchly) และเจเพรสเปอร์ เอ็ดเคิร์ท (J. Presper Eckert) ได้เริ่มพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ และจัดได้ว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วไปเป็นเครื่องแรกของโลกมีชื่อว่าอินิแอค (Electronic Numerical Integrator And Calculator : ENIAC) โดยเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศและใช้งานที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียในระยะเวลาใกล้เคียงกันนี้ก็มีการสร้างคอมพิวเตอร์และเครื่องคำนวณ ที่ใช้หลอดสุญญากาศขึ้นอีกหลายรุ่น เช่น IBM 603, IBM 604 และ IBM SSEC แต่เครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ไอบีเอ็มสร้างในยุคหลอดสุญญากาศยุคแรกนี้ยังเน้นในเรื่องการคำนวณ
เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก ถูกสร้างเสร็จในปี พ.ศ.2489 ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่มาก ใช้เนื้อที่ห้องถึง 15,000 ตารางฟุต มีน้ำหนัก 30 ตัน ใช้หลอดสุญญากาศ 18,000 หลอด เวลาทำงานต้องใช้ไฟฟ้าถึง 140 กิโลวัตต์
หลอดสูญญากาศ
นับแต่ปี พ.ศ.2489 เป็นต้นมา เครื่องคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาก้าวหน้ามาโดยลำดับ ทั้งทางแนวความคิดด้านอุปกรณ์หรือฮาร์ดแวร์ และโปรแกรมคำสั่งหรือซอฟต์แวร์จนมาถึงปัจจุบัน และสำหรับอนาคต เราสามารถแบ่งการพัฒนาคอมพิวเตอร์เป็นยุคต่าง ๆ ได้ดังนี้
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1 (พ.ศ.2487 – 2498)
เป็นช่วงที่ผู้สร้างคอมพิวเตอร์กำลังพัฒนาความคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ยังเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น และอยู่ในวงแคบ ทั้งด้านการออกแบบวงจรคำนวณและการใช้คำสั่ง คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศเป็นหน่วยพื้นฐานของวงจร หน่วยความจำเป็นรีเลย์หรือเป็นหลอดไฟฟ้าสถิต ซึ่งทำงานช้าและเสียหายง่าย ภาษาที่ใช้สำหรับสั่งงานเป็นภาษาระดับต่ำหรือใช้สายไฟฟ้าสำหรับเสียบเพื่อสั่งงาน เครื่องในยุคนี้ ได้แก่ เครื่อง ENIAC
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2 (พ.ศ.2499 - 2508)
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้นำทรานซิสเตอร์มาใช้แทนหลอดสุญญากาศส่งผลให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ดีขึ้น กินไฟน้อย ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลงและใช้พื้นที่ไม่มากนัก มีการใช้วงแหวนแม่เหล็กเป็นหน่วยความจำ มีการเพิ่มอุปกรณ์การรับ – ส่งข้อมูลและการแสดงผลลัพธ์ออกไปในหลายอุปกรณ์ เช่น การใช้จานแม่เหล็ก การใช้บัตรเจาะรู การใช้จอภาพและแป้นพิมพ์ การใช้เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นใช้ภาษาระดังสูง เช่น ฟอร์แทน โคบอล อัลกอล ซึ่งภาษาเหล่านี้มีลักษณะเป็นสมการ สูตรคณิตศาสตร์ หรือประโยคคำสั่งคล้ายภาษาเขียน แทนการใช้ภาษาเครื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 (พ.ศ.2509 – 2518)
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit) แทนการใช้ทรานซิสเตอร์แบบเดิม มีการใช้ชุดคำสั่งและระบบปฏิบัติการที่สามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆรุ่น และหลายๆขนาด โดยสามารถเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องเข้าเป็นระบบช่วยงาน นอกจากั้นยังเกิดวิธีการใหม่ในการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ที่เรียกว่าการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้างอีกด้วย
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4 (พ.ศ.2519 – 2532)
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หน่วยประมวลผลขนาดใหญ่ (Very Large Scale Integration) การเปลี่ยนหน่วยความจำจากวงแหวนแม่เหล็กมาเป็นหน่วยความจำจากสารกึ่งตัวนำ ที่เรียกว่า RAM (Random Access Memory) ซึ่งผลิตได้ง่ายและทำงานได้เร็วขึ้นกว่าวงแหวนแม่เหล็ก อุปกรณ์ประกอบอื่น ๆ ถูกปรับปรุงให้มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น คอมพิวเตอร์ถูกปรับปรุงให้ทำงานได้เร็วขึ้น เช่น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ จอภาพมีหลายแบบ และมีความละเอียดมากขึ้น สื่อบันทึกข้อมูลมีมากแบบและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นทั่งด้านความจุและความเร็วในการบันทึกข้อมูล
ในยุคนี้มีการเกิดขึ้นของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กในราคาที่ถูกลง ซึ่งมักเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) ส่งผลให้มีการใช้คอมพิวเตอร์แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวางในหมู่ผู้ประกอบธุรกิจและประชาชนโดยทั่วไป ความก้าวหน้าด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ได้เพิ่มพูนเป็นทวีคูณทั้งด้านซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และระบบเครือข่ายเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่กำลังแพร่ขยายครอบคลุมไปทั่วโลก
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 (พ.ศ.2533 – ปัจจุบัน)
ในยุคนี้ได้มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และความสะดวกสบายในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้ โครงการพัฒนาอุปกรณ์ VLSI ให้ใช้งานง่าย และมีความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้สามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผล
ในอนาคตหากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ก็คงจะมีคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 6, 7, 8 , 9 ไปเรื่อยๆ สังเกตุว่ายิ่งคอมพิวเตอร์มีความทันสมัยมากเท่าไร ขนาดของเครื่องยิ่งมีขนาดเล็กลงมากตามไปด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น